Career advice | 9 May 2025

จบแล้วเคว้ง : เด็กจบใหม่ยังไม่ได้งาน จัดการกับตัวเองยังไงดี? ที่นี่มีคำตอบ

อาการ “เรียนจบแล้วเคว้ง” เป็นเรื่องธรรมดากว่าที่คิดเยอะเลย โดยเฉพาะสำหรับเด็กจบใหม่แล้วกำลังจะก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานแบบเต็มตัว หลายคนอาจรู้สึกเหมือนเคว้งๆ ลอยๆ ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนดี จะไปต่อสายไหน หรือจะหางานแบบไหนถึงจะเหมาะกับตัวเองจริงๆ ยิ่งถ้าไม่ได้มีงานที่อยากทำ หรือสมัครไปแล้วแต่ยังไม่มีข่าวตอบกลับ ยิ่งทำให้ความมั่นใจเริ่มสั่นคลอน แต่ขอบอกเลยว่าไม่ได้เจออยู่คนเดียวแน่นอน เด็กจบใหม่แทบทุกคนเคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาแล้วทั้งนั้น

ช่วงหลังเรียนจบเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เป็นที่น่ากังวลใจของหลายคน เพราะหมายถึงกำลังเปลี่ยนจากชีวิตนักศึกษาสู่การเป็น “ผู้ใหญ่” ที่ต้องจัดการชีวิตเองทั้งหมด บางคนมีเป้าหมายชัดเจนก็โชคดีไป แต่สำหรับเด็กจบใหม่ที่ยังลังเล ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เรียนมาตรงกับสิ่งที่อยากทำหรือเปล่า บอกเลยว่าไม่ผิดนะ เพราะเส้นทางของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และการได้ลองผิดลองถูกในช่วงนี้แหละ ที่จะค่อยๆ พาเราไปเจอ “จุดตั้งต้น” ที่ใช่สำหรับเราเอง

เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งเครียดเกินไป WorkVenture รวบรวม สิ่งที่น่าทำหลังจบใหม่มาให้ บางทีการได้เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ก่อน เช่น สมัครงานพาร์ทไทม์ ฝึกงาน หรือเข้าร่วมโปรแกรมสำหรับเด็กจบใหม่ ก็อาจช่วยให้มองเห็นเส้นทางข้างหน้าได้ชัดขึ้นก็ได้นะ

 

  1. เช็กตัวเองแบบไม่โกหก

  • ถามตัวเองว่า ชอบอะไรจริงๆ 

กำลังอยู่ในช่วงลังเลหรือเปล่า  ไม่รู้เลยจะไปทางไหนดีก็เราเป็นเด็กจบใหม่นี่นา ลองเริ่มจากการ “ศึกษาตัวเองให้ลึกขึ้น” ก่อนดีกว่า ว่า จริงๆ แล้ว เราชอบอะไรกันแน่ ไม่ใช่แค่เรียนจบมาทางนั้น แล้วต้องทำตามเส้นทางนั้นตลอดไป เพราะความชอบจริงๆ กับสิ่งที่เรียนมาอาจจะไม่ตรงกันก็ได้ และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิดเลย

  • ลิสต์ว่า เรารู้สึกว่า "เก่ง" อะไรบ้าง

สิ่งที่ช่วยได้มากคือการลองลิสต์ออกมาแบบง่ายๆ ว่า เด็กจบใหม่อย่างเรารู้สึกว่า "เก่ง" อะไร หรือเคยทำอะไรแล้วมีคนชม รู้สึกมั่นใจ หรือมีโมเมนต์ที่ทำไปแบบเพลินๆ โดยไม่รู้ตัวอันนี้แหละคือสัญญาณว่าเรากำลังทำสิ่งที่เข้าทาง เพราะหลายครั้งอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ทำได้ดีมันมีค่าขนาดไหน

  • อยากเห็นตัวเองในอีก 3-5 ปีเป็นยังไง

อีกคำถามนึงที่ช่วยให้เด็กจบใหม่หลายคนได้ไอเดียใหม่ๆ คือ “อยากเห็นตัวเองในอีก 3-5 ปีเป็นยังไง” ไม่ต้องตอบให้เป๊ะก็ได้ แค่ลองจินตนาการดูว่าชีวิตแบบไหนที่เรารู้สึกว่าใช่ เป็นฟรีแลนซ์ไหม? ทำงานออฟฟิศในเมือง? มีเวลากลับบ้านเร็ว? หรือได้ทำงานสร้างสรรค์ในทีมสนุกๆ? ภาพพวกนี้จะช่วยให้เราเห็นเป้าหมายกว้างๆ แล้วค่อยๆ วางเส้นทางให้ตัวเองเดินไปทีละก้าวได้

ช่วงนี้คือโอกาสดีในการเริ่มต้นใหม่แบบไม่มีกรอบเก่าๆ มาจำกัด ลองให้เวลากับตัวเองสักหน่อยในการรู้จักตัวเองจริงๆ แล้วจะค่อยๆ เห็นว่า งานแบบไหนที่น่าจะใช่ และชีวิตแบบไหนที่เราต้องการจริงๆ

 

  1. เรียนรู้เพิ่ม เติมสกิล

  • คอร์สออนไลน์ สั้นๆ เพิ่มสกิลใหม่

สำหรับเด็กจบใหม่ที่ยังไม่แน่ใจว่าอยากทำงานอะไร หรือรู้สึกว่าสิ่งที่เรียนมายังไม่ตอบโจทย์สายงานในฝัน ลองใช้ช่วงเวลานี้ให้เป็นประโยชน์ด้วยการหา คอร์สออนไลน์สั้นๆ มาเพิ่มสกิลใหม่ดูสิ! สมัยนี้การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในมหาวิทยาลัยอีกต่อไปแล้ว เพราะมีคอร์สดีๆ มากมายที่เรียนจบได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่สัปดาห์ แต่ช่วยเปิดโลกและเพิ่มโอกาสในการหางานได้เยอะมาก

ตัวอย่างสกิลที่กำลังมาแรง และเหมาะกับเด็กจบใหม่สุดๆ เลยก็อย่างเช่น UX/UI Design ที่เหมาะกับสายออกแบบและคนที่ชอบคิดแก้ปัญหาให้ผู้ใช้, การเขียนโปรแกรมสำหรับสายที่อยากเข้า tech industry, ออกแบบกราฟิกสำหรับสายครีเอทีฟ และการตลาดดิจิทัลที่ตอนนี้แทบทุกธุรกิจต้องมีคนทำ ไม่ว่าเธอจะเรียนจบสายไหนมา ก็สามารถเริ่มต้นเรียนสกิลเหล่านี้ได้แบบไม่ต้องมีพื้นฐานมาก่อนเลย

  • เรียนอะไรที่ต่างจากสายเดิมไปเลยเพื่อ “ลอง”

แต่ถ้ารู้สึกว่าอยากเปลี่ยนเส้นทางแบบสุดขั้วไปเลย เช่น เรียนวิทยาศาสตร์มาแต่อยากลองทำงานสายศิลปะ, หรือเรียนบัญชีมาแต่อยากเข้าสายครีเอทีฟก็ไม่มีใครว่าเลยนะ การเรียนคอร์สออนไลน์ในสายที่ “ต่างจากเดิม” คือโอกาสดีในการทดลอง โดยไม่ต้องอะไรมาก ลองดูก่อนว่าชอบจริงไหม ถ้าใช่ค่อยต่อยอดก็ยังไม่สาย

การลงทุนเวลานิดหน่อยเพื่อเรียนรู้อะไรใหม่ๆ อาจเป็นก้าวเล็กๆ ที่พาเด็กจบใหม่อย่างเราก้าวไปเจอเส้นทางที่ใช่ได้ในที่สุด บางครั้งมันก็แค่ต้อง “ลอง” เท่านั้นเอง

5 แหล่งคอร์สออนไลน์น่าเรียน สำหรับเด็กจบใหม่ที่อยากเพิ่มระดับอัปสกิล

1. Google Digital Garage

แหล่งรวมคอร์สดีๆ จาก Google ที่มีทั้งสายดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง, การพัฒนาทักษะอาชีพ, ทักษะดิจิทัลพื้นฐาน ไปจนถึง AI เบื้องต้น เรียนฟรี! จบคอร์สแล้วได้ใบเซอร์จาก Google เอาไปใส่โปรไฟล์สมัครงานได้เลยจุกๆ

2. Coursera (คอร์สฟรีบางส่วน)

ถึงจะมีคอร์สที่มีค่าใช้จ่ายบ้าง แต่รู้มั้ยว่า Coursera ก็มีคอร์สให้เรียนฟรีด้วยนะ มีตั้งแต่ UX/UI, เขียนโปรแกรม, ภาษาอังกฤษ, business skill และอีกเพียบจากมหาวิทยาลัยระดับโลก เรียนฟรีแบบไม่ต้องสอบก็ยังเก่งได้

3. edX (คอร์สฟรีบางส่วน)

อีกแพลตฟอร์มที่รวมคอร์สจากมหาวิทยาลัยอย่าง Harvard, MIT, และอีกเพียบ เด็กจบใหม่ที่อยากลองเรียนสายใหม่ๆ เช่น Data Science, Business, Finance, หรือแม้แต่มนุษยศาสตร์ ก็มาเลือกเรียนได้เลย

4. FutureLearn

แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์จาก UK ที่มีคอร์สน่าสนใจเยอะมาก ทั้งพวก Career Planning, Soft Skills, ความรู้รอบตัวที่เอาไปใช้ในชีวิตจริงได้จริง เด็กจบใหม่ที่ยังหาตัวเองไม่เจอแนะนำให้ลอง

5. ThaiMOOC (ภาษาไทยก็มี)

อยากเรียนคอร์สภาษาไทยก็มี ทั้ง SkillLane (บางคอร์สฟรี) และ ThaiMOOC ที่รวบรวมคอร์สจากมหาวิทยาลัยไทยทั่วประเทศ เรียนฟรี มีใบเซอร์ แถมบางคอร์สคือเหมือนนั่งเรียนในมหาวิทยาลัยจริงๆเลย

บางทีแค่เริ่มเรียนอะไรใหม่ๆ สมองมันก็สปาร์กขึ้นมาเฉย เหมือนเปิดโลกอีกใบที่เราไม่เคยรู้ว่าชอบมาก่อนก็ได้ เส้นทางหลังเรียนจบอาจจะยังเบลออยู่ตอนนี้ แต่เชื่อเถอะ...แค่ลงมือเริ่ม มันจะค่อยๆ ชัดขึ้นเอง

แถมตอนนี้มีคอร์สดีๆ ฟรีเพียบ ไม่ต้องเสียเงินเยอะก็พัฒนาตัวเองได้ทุกวัน แค่มีเน็ต กับใจที่อยาก “ลอง” เท่านั้นเอง! และที่สำคัญ อย่าลืมเอาใบ Certificate ที่เรียนจบไปแปะไว้ใน LinkedIn หรือแนบใน Resume ด้วยนะ มันช่วยให้โปรไฟล์ดูน่าสนใจขึ้นเยอะ เพิ่มโอกาสโดนเรียกสัมภาษณ์แบบตาเห็นจริงๆ

 

  1. สมัครงาน (เลือกดูที่น่าเชื่อถือด้วยนะ)

เรียนจบใหม่แล้วรู้สึกเคว้งๆ ไม่รู้จะเริ่มหางานจากตรงไหนก่อน ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะหลายคนก็อยู่ในจุดเดียวกัน ลองดูแต่ละสเต็ปพวกนี้ ช่วยให้เห็นภาพชีวิตหลังเรียนจบได้ชัดขึ้น และค่อยๆ เดินไปข้างหน้าแบบไม่หลงทาง

  • เริ่มจากแหล่งหางานที่น่าเชื่อถือ

สำหรับเด็กจบใหม่ การเลือกแพลตฟอร์มหางานดีๆ จะช่วยลดเวลางมหางานที่ไม่น่าเชื่อถือได้เยอะ

  1. เว็บหางานคุณภาพ ทุกวันนี้เว็บไซต์หางานมีคุณภาพเพิ่มขึ้น อย่างเว็บไซต์ของเรา WorkVenture ที่มีทั้งระบบคัดกรองตามความต้องการ มีระบบกรองงานตามเงินเดือนที่ต้องการ มีระบบกรองงานที่เหมาะกับสายอาชีพและประสบการณ์ระดับ "เริ่มต้น" หรือใครอยากประเมินว่าตัวเองควรได้เงินเดือนเท่าไร ตามที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า ทางเราก็มีให้ประเมินเงินเดือนเหมือนกันนะ
  2. หรือลองเข้าเว็บบริษัทที่สนใจโดยตรง เพราะบางที่ไม่ลงแพลตฟอร์ม แต่เปิดรับอยู่เงียบๆ บนหน้า Careers ของตัวเอง
  • เตรียมตัวสัมภาษณ์ล่วงหน้า

สมัครไปก่อน แล้วค่อยมาเตรียมทีหลังอาจทำให้พลาดโอกาสได้ เด็กจบใหม่ควรเตรียมตัวให้พร้อมไว้ก่อนเสมอ

  1. ฝึกตอบคำถามสัมภาษณ์คลาสสิก เช่น “จุดแข็งของคุณคืออะไร?”, “ทำไมถึงอยากทำงานกับเรา?”, “ตอนเรียนเคยทำโปรเจกต์อะไรที่ภูมิใจไหม?”
  2. อัปเดตเรซูเม่ ให้ดูดี น่าอ่าน ไม่ยาวเกินไป และเน้นสกิลมากกว่าประสบการณ์ก็ได้ ถ้าเพิ่งจบ
  3. เตรียม เช็คความพร้อม เอกสารที่สำคัญในการสมัครงาน
  4. อย่าลืมเรื่อง การแต่งตัวให้เหมาะกับตำแหน่งที่สมัคร เรียบร้อยไว้ก่อนดีกว่า
  • เช็กว่าวัฒนธรรมองค์กรและสวัสดิการเข้ากับเราไหม

ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเดือนดีเท่านั้นที่ควรพิจารณาในการสมัครงาน สำหรับเด็กจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ทำงาน บรรยากาศในที่ทำงานและสวัสดิการก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ลองถามตัวเองดูว่าเราเป็นคนชอบทำงานเป็นทีม หรือถนัดทำงานแบบโฟกัสคนเดียวมากกว่า? เรารู้สึกโอเคกับที่ทำงานที่เป็นทางการ หรือชอบบรรยากาศแบบ casual ที่แต่งตัวสบายๆ ได้ทุกวัน? เพราะแต่ละองค์กรมีวัฒนธรรมการทำงานที่ต่างกันมาก การอ่านรีวิวบริษัทจากเว็บไซต์ของเรา ที่มีรีวิวจากพนักงานจริงหลายพันบริษัท ถึงประสบการณ์การทำงานจริงๆ เพื่อหาบริษัทที่เหมาะสมถูกใจที่สุด หรือการถามรุ่นพี่ที่เคยฝึกงานหรือเคยทำงานที่นั่นมาก่อน จะช่วยให้เห็นภาพได้ชัดขึ้นเยอะ 

  • มองหาโอกาสเติบโตในระยะยาว

บางคนคิดว่า “งานแรกขอแค่มีเงินเดือนก็พอ” แต่อย่าลืมมองอนาคตไปด้วย เพราะบางที่ดูเล็ก แต่เติบโตได้ไกลมาก

  1. ดูว่า งานนี้มีเส้นทางเลื่อนตำแหน่งยังไง เช่น จาก Trainee → Junior → Senior
  2. บริษัทมีการ เทรนพนักงานใหม่หรือมีเมนเทอร์ให้ไหม
  3. มีการส่งอบรม/เรียนต่อ หรือสนับสนุนสกิลด้านอื่นๆ หรือเปล่า?
  • จำไว้ว่า "งานแรกไม่ต้องเป๊ะ"

สำหรับเด็กจบใหม่ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นงานประจำแบบไหนดี จะสมัครงานก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ หรือยังอยากลองหลายๆ อย่างก่อนตัดสินใจ งานฟรีแลนซ์หรือพาร์ทไทม์อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่เวิร์กสุดๆ แบบไม่ต้องรีบร้อน commit กับงานยาวๆ แต่ก็ได้ประสบการณ์จริงมาเติมในพอร์ตพร้อมรับโอกาสใหม่เสมอ

  1. สมัครไปก่อน ไม่ต้องรอ “มั่นใจ 100%” เพราะบางทีได้สัมภาษณ์แล้วถึงจะรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ
  2. งานแรกคือโอกาสในการ ทดลอง เรียนรู้ และสังเกตตัวเอง
  3. ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร เปลี่ยนได้ ปรับได้ เด็กจบใหม่มีเวลาทดลองได้อีกเยอะ

เรียนจบใหม่แล้วรู้สึกเคว้งไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งที่ทำให้ไปต่อได้คือ “การเริ่มลงมือ” ลองสมัคร ลองเรียนรู้ และเปิดใจกับโอกาสใหม่ๆ ไปก่อน แล้วเดี๋ยวเส้นทางที่ใช่จะค่อยๆ ปรากฏเอง

 

  1. ลองรับฟรีแลนซ์หรือพาร์ตไทม์หาประสบการณ์

ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นงานประจำแบบไหนดี จะสมัครงานก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ หรือยังอยากลองหลายๆ อย่างก่อนตัดสินใจ งานฟรีแลนซ์หรือพาร์ทไทม์อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่เวิร์กสุดๆ แบบไม่ต้องรีบร้อนผูกมัดกับงานยาวๆ แต่ก็ได้ประสบการณ์จริงมาเติมในพอร์ตพร้อมรับโอกาสใหม่เสมอ

  • รับฟรีแลนซ์ หรือพาร์ทไทม์ก่อน

ไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบกราฟิก เขียนคอนเทนต์ ถ่ายภาพ ตัดต่อคลิป แอดมินเพจ หรือช่วยตอบแชทลูกค้า งานเหล่านี้หาได้ง่ายจากแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือถามผ่านคอนเนคชั่นรอบตัว ก็สามารถเริ่มทำได้เลยทันที ไม่ต้องมีประสบการณ์เยอะ แค่ตั้งใจและรับผิดชอบก็พอ

  • ได้ทั้งประสบการณ์ เงิน และเครือข่าย โดยไม่ต้อง commit ยาว

งานแบบนี้อาจดูเหมือนเล็กๆ แต่บอกเลยว่าเป็นพื้นที่ฝึกสกิลแบบจริงจัง เพราะได้ทำงานกับลูกค้าจริง เจอปัญหาจริง และต้องแก้ไขจริง ที่สำคัญยังได้เงินติดกระเป๋าไว้ใช้ช่วงหางานด้วย อีกทั้งยังได้รู้จักคนในวงการ ได้สร้างคอนเนคชั่นที่อาจพาเราไปสู่งานประจำที่ใช่ในอนาคตก็ได้
การเริ่มต้นด้วยงานฟรีแลนซ์หรือพาร์ทไทม์เป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นและเหมาะกับเด็กจบใหม่มากๆ เพราะให้ทั้งประสบการณ์ รายได้ และโอกาสแบบไม่ต้องแบกรับแรงกดดันจากการ “ต้องได้งานที่ใช่ทันที” ลองเก็บเล็กเก็บน้อย สะสมพอร์ต สร้างเครือข่ายไปเรื่อยๆ เดี๋ยวทางที่ใช่ก็จะเริ่มชัดขึ้นเองแบบไม่ทันรู้ตัว

 

  1. ใช้เวลานี้เพื่อพักใจ

หลังเรียนจบ หลายคนอาจรู้สึกว่าต้องรีบหางานให้ได้ทันที ต้องมี productivity ต้องใช้เวลาให้คุ้มทุกวินาที... แต่เดี๋ยวนะ เด็กจบใหม่ทุกคน ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้ ถ้ารู้สึกเหนื่อยล้า สับสน หรือหมดไฟหลังจากการเรียนหนักหรือชีวิตที่วิ่งมาหลายปี การ “พักใจ” ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่ผิดเลยสักนิด การให้เวลากับตัวเองแบบไม่รู้สึกผิด คือการเยียวยาอย่างแท้จริง และบางทีมันอาจเป็นจุดเริ่มต้นให้เราค้นพบสิ่งที่อยากทำจริงๆ ก็ได้

จะเป็นการเดินทางคนเดียวแบบแบกเป้ไปลุย หรือแค่ใช้เวลาอยู่บ้านเงียบๆ วาดรูป ปลูกต้นไม้ ดูหนัง เล่นกับแมว หรือแค่นั่งนิ่งๆ ฟังเพลง อะไรก็ตามที่ทำให้รู้สึกสงบและกลับมาเชื่อมต่อกับตัวเอง ล้วนมีคุณค่าเสมอ โดยเฉพาะกับเด็กจบใหม่ที่เพิ่งหลุดออกจากระบบที่มีตารางแน่นๆ การ “ไม่ทำอะไร” บ้าง เป็นพื้นที่ให้หัวใจได้หายใจ และให้สมองได้คลายจากเสียงดังในหัว

เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน ลองหยุดก่อนสักพัก แล้วฟังเสียงข้างในดู ไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะช้าไปกว่าใคร เพราะการรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร “จริงๆ” ต่างหาก ที่จะทำให้ทุกก้าวจากนี้มั่นคงและชัดเจนมากขึ้น