
5 วิธีสร้างภาพลักษณ์องค์กรยังไงให้ unique!
เมื่อคุณต้องการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัท ขั้นแรกคุณจะต้องหาจุดเด่นขององค์กรให้ได้เสียก่อน โดยการมีภาพลักษณ์องค์กรที่ชัดเจนนั้นจะช่วยบริษัทได้ในหลายๆด้าน รวมถึงการรับสมัครงงานด้วย หลายๆคนเคยมีประสบการณ์ที่บางครั้งสุดท้ายแล้วผู้สมัครก็ไปเลือกบริษัทอื่น เราควรทราบสาเหตุว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะสวัสดิการหรือผลตอบแทนที่ยังไม่ตอบโจทย์ผู้สมัคร หรือเพราะเราลืมพูดถึงบางเรื่องที่เป็นจุดเด่นขององค์กรให้พวกเขารับรู้ตอนกำลังสัมภาษณ์
หากคุณไม่มีภาพลักษณ์องค์กรชัดเจน เหล่าผู้สมัครงานย่อมไม่ทราบถึงจุดเด่นที่จะขับเคลื่อนบริษัทของคุณให้ก้าวหน้าได้ ซึ่งสิ่งนี้ย่อมส่งผลเสียกับบริษัทใช่ไหม? แล้วจะทำอย่างไรให้มันไม่เกิดขึ้นล่ะ?
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองล้วนเกี่ยวกับ Employer branding ทั้งนั้น วันนี้เรามาลองดูกันว่า HR Executive ทั้ง 5 ท่านจาก Fobes Human Resources Council ได้ให้คำแนะนำไว้อย่างไรบ้าง
ทำไม “ภาพลักษณ์องค์กร” ถึงสำคัญ?
ในยุคที่การแข่งขันด้านการหาคนมีความเข้มข้นมากขึ้นทุกปี การมี “แบรนด์องค์กร” หรือ Employer Branding ที่ชัดเจนจึงเป็นเหมือนโลโก้ในใจของผู้สมัครที่ทำให้เขานึกถึงเราเป็นลำดับแรก โดยเฉพาะในตลาดแรงงานที่ผู้สมัครเก่ง ๆ มักมีตัวเลือกมากมาย ไม่ใช่แค่บริษัทที่เลือกพนักงานอีกต่อไป แต่เป็นผู้สมัครเองที่ “เลือกองค์กร” ด้วย
บริษัทที่ขาดการสื่อสารจุดเด่นของตนเอง หรือมีภาพลักษณ์ที่ไม่ชัดเจน มักเสียโอกาสดึงดูดคนเก่ง ๆ เพราะผู้สมัครอาจไม่เห็นว่าอะไรทำให้บริษัทนั้นแตกต่างจากที่อื่น หรือบางทีเขาอาจสนใจแล้วแต่ยังขาดข้อมูลที่ตัดสินใจได้ทันที ซึ่งตรงนี้คือจุดที่ HR และผู้บริหารต้องทำงานเชิงรุกมากขึ้น

1. เสนอจุดขายทุกอย่างที่คุณมี
โดย Michele Gonzalez-Pitek, Chief People & Culture Officer แห่ง The Unity Council
ทำไม "สิ่งดี ๆ" ที่ไม่พูดถึง = โอกาสที่สูญเปล่า
หลายองค์กรในปัจจุบันลงทุนไปมากกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กร สวัสดิการดี ๆ และสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่น่าประทับใจ แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่มักมองข้าม — การ "สื่อสาร" สิ่งเหล่านั้นออกไปอย่างชัดเจน
Michele Gonzalez-Pitek ผู้เชี่ยวชาญด้าน People & Culture จาก The Unity Council เคยกล่าวว่า เธอพบปัญหานี้ในการทำงานจริงๆ ว่า…
“องค์กรเรามีสวัสดิการดีมาก แต่ไม่มีใครรู้ เพราะมันไม่เคยถูกพูดถึง”
ในองค์กรของเธอมีนโยบายที่เปิดกว้างให้พนักงานสามารถเข้าอบรมหลักสูตรภายนอก ทั้งในด้านทักษะอาชีพ ภาษาที่สาม หรือแม้แต่ความรู้ด้านสุขภาพจิต โดยบริษัทจะช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วนหรือทั้งหมด — แต่น่าเสียดายที่ข้อมูลเหล่านี้ไม่เคยถูกเขียนลงในเอกสารรับสมัคร หรือแม้แต่พูดถึงระหว่างการสัมภาษณ์
มองในมุมผู้สมัคร
ลองจินตนาการว่าคุณคือผู้สมัครคนหนึ่ง ที่กำลังเลือกว่าจะไปทำงานกับบริษัท A หรือ B ทั้งสองบริษัทเสนอเงินเดือนใกล้เคียงกัน ตำแหน่งเหมือนกัน แต่บริษัท A กลับไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเลยนอกจาก “เรามีประกันสุขภาพ” ในขณะที่บริษัท B ให้เอกสารที่บอกว่า...
- คุณสามารถเข้าอบรมด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทุกไตรมาส
- เรามีโปรแกรม “Internal Talent Mobility” ที่ให้คุณลองงานในแผนกอื่นได้
- บริษัทมีวันหยุด “รีเซ็ตใจ” เพิ่มให้อีกปีละ 2 วัน
- เราอนุญาตให้พนักงานทำงานนอกสถานที่เดือนละ 4 วัน เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
ข้อมูลเล็กน้อยพวกนี้แหละ ที่สร้างความแตกต่างอย่างมหาศาลในการตัดสินใจของผู้สมัครงาน
แล้วจะเริ่มอย่างไรดี?
- ทบทวนทุกสวัสดิการที่มี
รวบรวมสวัสดิการทั้งหมด ทั้งที่เป็น “Hard Benefits” (สิ่งที่จับต้องได้ เช่น เงินโบนัส วันหยุด ประกันสุขภาพ) และ “Soft Benefits” (สิ่งที่ให้คุณค่าทางใจ เช่น ความยืดหยุ่น เวลาทำงาน บรรยากาศองค์กร) - ถามพนักงานปัจจุบัน
ว่าพวกเขารู้สึกชื่นชอบอะไรที่สุดในองค์กร คำตอบที่ได้จะสะท้อน “จุดขายจริง ๆ” ที่คนในองค์กรมองเห็น และอาจเป็นสิ่งที่ HR ไม่เคยรู้มาก่อน - ทำให้มันเป็นรูปธรรม
อย่าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เป็นแค่ข้อความในแชท หรือในบรีฟ ใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ — ทำ สไลด์, โพสต์บนโซเชียล, หรือแม้แต่ วิดีโอรีวิวจากพนักงานจริง เพื่อให้ผู้สมัครเห็นภาพชัดเจน
มุมคิดที่หลายองค์กรพลาด คือ การไม่พูดถึงสิ่งดี ๆ ก็เหมือนการไม่ให้โอกาสตัวเอง
บางองค์กรกลัวว่าการพูดถึงสวัสดิการเยอะจะดูโอ้อวด หรือทำให้ผู้สมัครคาดหวังเกินจริง — ซึ่งในความจริงกลับตรงกันข้าม
การเล่าให้ครบถ้วน กลับแสดงถึงความโปร่งใส เป็นมืออาชีพ และเป็นการให้ “ข้อมูลเพียงพอ” เพื่อให้ผู้สมัครตัดสินใจอย่างมั่นใจ
อย่าลืมว่า Employer Branding ที่ดี = การจัดการความคาดหวังอย่างตรงไปตรงมา
ไม่ว่าคุณจะมีนโยบายดีแค่ไหน ถ้ามันไม่ถูกเล่าออกไป ก็ไม่มีวันกลายเป็นจุดขายที่ช่วยดึงดูดคนเก่ง ๆ ให้เข้ามาในองค์กร
“People won’t appreciate your value unless you tell them what it is.”
— Michele Gonzalez-Pitek

2. สร้างวัฒนธรรมองค์กรให้แข็งแกร่ง
โดย Enrica Sighinolfi จาก Opportunity Network
การให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่าง ๆ เป็นการเริ่มต้นสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี หรือการตั้งวิสัยทัศน์และค่านิยมขององคร์ก็เป็นการสะท้อนวัฒนธรรมองค์กรออกมาด้วยเช่นกัน การที่จะสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง เราจะต้องทำความเข้าใจและทราบอย่างถ่องแท้ว่าวัฒนธรรมองค์กรคืออะไร และต้องให้ความสำคัญแม้กระทั่งในจุดเล็ก ๆ เช่น พฤติกรรมและระบบความคิดของคนส่วนใหญ่ในบริษัท การมีวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งจะทำให้พนักงานเป็นหนึ่งเดียวกันและช่วยเสริมให้ภาพลักษณ์ของบริษัทชัดเจนมากยิ่งขึ้น
วัฒนธรรมที่ดี ไม่ได้เกิดจากคำพูด — แต่มาจาก การลงมือทำ
หลายบริษัทมีคำขวัญที่ฟังดูดี เช่น “เราคือทีมเดียวกัน” หรือ “พนักงานคือหัวใจขององค์กร” แต่ในความเป็นจริง…บรรยากาศในที่ทำงานกลับเงียบ ไม่มีการสื่อสาร ไม่มีความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่ง Enrica Sighinolfi ผู้นำด้าน People & Culture แห่ง Opportunity Network องค์กรระดับโลกที่เชื่อมต่อธุรกิจจากกว่า 130 ประเทศ เคยแบ่งปันไว้ว่า...
“คุณสร้างวัฒนธรรมองค์กรไม่ได้ด้วยการเขียนคำสวยหรูลงบนโปสเตอร์ แต่คุณต้องทำให้พนักงาน ‘รู้สึก’ ถึงมันทุกวัน”
เธอเล่าว่า ทีมของเธอเริ่มต้นจากการ “ฟัง” ว่าพนักงานต้องการอะไรจริง ๆ ไม่ใช่แค่จากแบบสอบถามปีละครั้ง แต่คือการพูดคุยในชีวิตประจำวัน รวมถึงการเปิดพื้นที่ให้พนักงานได้มีส่วนร่วมออกแบบกิจกรรม วัฒนธรรม และแม้แต่กระบวนการตัดสินใจบางอย่างในองค์กร
ตัวอย่างจริงที่องค์กรอื่นก็ทำได้
ลองดูตัวอย่างสิ่งที่องค์กรระดับโลกอย่าง Opportunity Network ทำในแต่ละเดือนเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กร เช่น
- Culture Breakfast – พนักงานแต่ละทีมจะผลัดกันจัดกิจกรรมเล็ก ๆ ร่วมกัน เช่น แชร์วัฒนธรรมท้องถิ่นของตัวเอง อาหารที่บ้านเกิด หรือสิ่งที่ทำให้พวกเขาภูมิใจในตัวเอง
- Feedback Week – สัปดาห์พิเศษที่ทุกคนได้รับเชิญให้ให้ feedback ข้ามแผนก โดยไม่มีลำดับชั้น เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมความโปร่งใส
- Culture Buddy Program – พนักงานใหม่จะได้รับ “เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่” ที่ไม่ใช่หัวหน้า เพื่อคอยให้คำแนะนำและดูแลในช่วง 3 เดือนแรก
สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ที่ทำให้วัฒนธรรมองค์กร “จับต้องได้” และเป็นมากกว่าคำพูดสวยหรู
แล้วองค์กรของคุณล่ะ? จะเริ่มยังไงดี
- นิยามวัฒนธรรมองค์กรของคุณให้ชัด
อย่าเพียงแค่เขียนว่า “เราให้ความสำคัญกับคน” แต่ต้องอธิบายว่า “ให้ความสำคัญอย่างไร?” เช่น ผ่านการให้โอกาสแสดงความเห็น การจัดอบรม หรือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยเรื่องยาก ๆ - ฟังเสียงพนักงานในชีวิตจริง
เปิดวงสนทนาเล็ก ๆ สม่ำเสมอ หรือใช้ระบบเก็บฟีดแบ็คแบบ Real-Time เช่น Anonymous Feedback Tools เพื่อให้ทีมรู้สึกว่าเสียงของเขาสำคัญ - ลงมือทำให้เห็นจริง ไม่ใช่แค่พูด
ไม่ต้องรอโปรเจกต์ใหญ่ เริ่มจากกิจกรรมเล็ก ๆ ที่ทำได้ทันที เช่น Townhall ที่มีช่วงให้พนักงานถามอะไรก็ได้ การแชร์ success story ภายในองค์กร หรือวัน “Off-Work Afternoon” เดือนละครั้ง
สุดท้าย... วัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่สิ่งที่เขียนใส่กระดาษ แต่มันคือสิ่งที่ “คนในบริษัทรู้สึก”
และเมื่อพนักงานรู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งจริง ๆ ภาพลักษณ์องค์กรที่แข็งแกร่งก็จะเกิดขึ้นเอง — ทั้งภายในและภายนอกองค์กร
“Culture isn’t what you say. It’s what you celebrate, what you reward, and what you tolerate.”
— Enrica Sighinolfi

3. เผยแพร่วัฒนธรรมองค์กรให้เป็นที่รู้จักผ่านโซเชียลมีเดีย
โดย Kelsey Martin จาก Bristlecone Holdings
สร้างสื่อโซเชียลมีเดียหรือ #Hashtag ที่เหมาะกับภาพลักษณ์องค์กรของคุณ และให้ความรู้ทีมต่าง ๆ ให้ทราบถึงพลังแห่งโลกโซเชียล สนับสนุนพวกเขาใช้มันเผยแพร่เรื่องราวที่เกี่ยวกับงานและบริษัทในสื่อภายในหรือเพจส่วนตัว แต่จะต้องระลึกไว้เสมอว่าการที่พวกเขาจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัทได้นั้น ก็ต่อเมื่อเรามีวัฒนธรรมองค์กรดี ๆ ที่ทำให้เขาภูมิใจและอยากจะเสนอให้โลกรู้ โดยยิ่งพนักงานมีส่วนร่วมมากเท่าไร ภาพลักษณ์เราก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเป็นเท่าตัว
วัฒนธรรมที่ดี ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในองค์กร — ถ้าอยากดึงดูดคนเก่ง ๆ ต้องเล่าให้โลกฟัง
หลายองค์กรมีวัฒนธรรมภายในที่ยอดเยี่ยม แต่กลับพลาดโอกาสในการดึงดูดคนเก่ง ๆ เพียงเพราะ “ไม่มีใครรู้จัก”
Kelsey Martin ผู้นำด้าน People Operations จาก Bristlecone Holdings เคยเผชิญกับปัญหานี้มาโดยตรง เธอเล่าว่า…
“วัฒนธรรมที่ดีจะไม่มีใครรู้... ถ้าไม่ถูกเล่าออกไป”
ในตอนที่เธอเข้าร่วม Bristlecone Holdings บริษัทมีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี มีความร่วมมือ และมีชีวิตชีวา — แต่กลับไม่ถูกถ่ายทอดออกไปสู่สายตาภายนอกเลย
Kelsey จึงเริ่มโปรเจกต์ #LifeAtBristlecone โดยชวนพนักงานโพสต์เรื่องราวในชีวิตการทำงานของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นช่วงพักเบรก กิจกรรมกลุ่ม หรือเบื้องหลังโครงการอาสา นอกจากสร้างการมีส่วนร่วมในทีมแล้ว ยังทำให้ผู้สมัครได้เห็น “ชีวิตจริง” ในบริษัท
ตัวอย่างจริงที่องค์กรอื่นก็ทำได้
- ใช้ Hashtag เฉพาะ เช่น #LifeAtBristlecone เพื่อรวมคอนเทนต์ไว้ในที่เดียว
- เปิดให้พนักงานเป็นคนโพสต์เอง ไม่จำกัดเฉพาะ HR
- ไม่ใช้แค่ภาพสวย ๆ แต่เน้นความจริงใจ เช่น ภาพวันทำงานธรรมดา หรือคลิปสั้น ๆ จากมือถือ
ใน 3 เดือน Engagement Rate บน LinkedIn เพิ่มขึ้นถึง 300% และจำนวนผู้สมัครที่มีคุณภาพก็เพิ่มขึ้น 40% โดยหลายคนบอกว่า “รู้สึกเหมือนได้สัมผัสบริษัทก่อนสมัครจริง”
แล้วองค์กรของคุณล่ะ? จะเริ่มยังไงดี
- ตั้ง Hashtag ขององค์กร
เลือกคำที่สื่อถึงวัฒนธรรม เช่น #Team[ชื่อบริษัท] หรือ #Inside[ชื่อองค์กร] - ชวนพนักงานร่วมสร้างคอนเทนต์
เริ่มจากกิจกรรมง่าย ๆ เช่น “วันแชร์ภาพที่ทำงาน” หรือ “หนึ่งวันในชีวิตของฉันที่บริษัท” - ไม่ต้องเป๊ะ แต่ต้องจริง
ภาพจากมือถือหรือวิดีโอแนว vlog อาจได้ผลลัพธ์ดีกว่าวิดีโอโปรดักชันแพง ๆ หากมีความจริงใจ
โซเชียลมีเดียไม่ใช่แค่ช่องทางสื่อสาร แต่คือภาพลักษณ์องค์กรที่จับต้องได้ — และถ้าคุณไม่เล่า...ก็เท่ากับปล่อยให้โอกาสผ่านไป
4. ให้วัฒนธรรมสร้างภาพลักษณ์องค์กร
โดย Sarah O’Neill จาก Digital Trends
ถ้าอยากจะดึงคนเจ๋ง ๆ มาร่วมงานล่ะก็ เราต้องเสนอประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่หาในบริษัทอื่นไม่ได้ ถ้าพูดกันตรง ๆ คือทุกที่มีงานเสนอให้กับเหล่าแคนดิเดท แต่ว่าจะมีซักกี่บริษัทที่จะเสนอวัฒนธรรมดี ๆ ที่ผู้คนโหยหา? พวกเราชาว HR สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ได้ ด้วยการร่วมกันพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเอาเข้าจริง คนที่สร้างสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้คือสมาชิกในองค์กรของคุณนั่นแหละ
คนสมัครงานวันนี้ ไม่ได้แค่มองหางาน — แต่มองหาวัฒนธรรมที่เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง
การจะสร้าง Employer Brand ที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่แค่เรื่องของโลโก้หรือภาพโฆษณา แต่ต้องเริ่มจากวัฒนธรรมที่ “คนใน” รู้สึกได้จริง
Sarah O’Neill จาก Digital Trends เคยพูดไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า…
“คุณขายงานไม่ได้ ถ้าวัฒนธรรมมันไม่ใช่ของจริง”
ในช่วงที่บริษัทต้องการขยายทีมอย่างรวดเร็ว พวกเขาค้นพบว่าข้อเสนอเรื่องเงินเดือนหรือสวัสดิการธรรมดาไม่พออีกต่อไป — คนรุ่นใหม่ต้องการ “ความหมาย” และ “ความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า”
Sarah จึงสร้างโครงการ “Culture Champions” คัดเลือกพนักงานที่ embody ค่านิยมขององค์กรอย่างแท้จริง ให้มาเป็นผู้นำกิจกรรมเล็ก ๆ เช่น แชร์ประสบการณ์ Group Talk หรือจัด Lunch Learning
ตัวอย่างจริงที่องค์กรอื่นก็ทำได้
- แต่งตั้ง Culture Ambassadors จากทุกแผนก
- จัดกิจกรรมสื่อสารวัฒนธรรมแบบ bottom-up เช่น “Let’s Talk Lunch” หรือ “My Culture, My Story”
- สร้างพื้นที่ให้พนักงานเสนอไอเดียใหม่ ๆ โดยไม่ต้องรออนุมัติจากหัวหน้า
ผลที่ได้คือ วัฒนธรรมองค์กรเริ่มถูกพูดถึง “จากพนักงานจริง” โดยที่ HR ไม่ต้องโฆษณาอะไรเพิ่มเติม
แล้วองค์กรของคุณล่ะ? จะเริ่มยังไงดี
- เริ่มจากพฤติกรรมเล็ก ๆ
สังเกตพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงในทีม เช่น ความกล้าแสดงความเห็น หรือการสนับสนุนกันเอง - เปิดพื้นที่ให้คนจริงเป็นคนเล่า
อาจเป็นวิดีโอสั้น ๆ จากพนักงาน หรือโพสต์ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในวันทำงาน - อย่ากลัวความแตกต่าง
เพราะวัฒนธรรมที่เป็น “ของแท้” ถึงจะมีพลังดึงดูดคนที่ใช่ได้จริง
วัฒนธรรมองค์กรที่ดี ไม่ใช่เรื่องของภาพลักษณ์ — แต่มันคือประสบการณ์ที่คนใน “รู้สึกได้” และพร้อมส่งต่อให้คนอื่น
5. แชร์สิ่งที่ทำให้องค์กรของคุณ “แตกต่าง”
โดย Angela Nguyen จาก Ad Exchange Group
ในปัจจุบันภาพลักษณ์องค์กรกลายมาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่เหล่าผู้สมัครงานใช้ประกอบการตัดสินใจเวลาจะเข้าร่วมกับบริษัทสักแห่ง ภาพลักษณ์องค์ที่แตกต่างจะทำให้คุณโดดเด่น และสิ่งเหล่านั่นคือวัตถุดิบชั้นดีในการนำมาลงโซเชียลมีเดีย ดังนั้นถ่ายภาพมาให้ชัดแจ๋ว ถ้าเป็นไปได้ก็แถมวีดิโอน่ารัก ๆ เข้าไปหน่อย ทีนี้ก็เอาไปลงในบล็อก เฟซบุ๊ค หรืออะไรก็ตามที่บริษัทคุณใช้ รับรองว่าจะทำให้ผู้คนจดจำบริษัทของคุณได้แน่นอน
ในตลาดที่ทุกบริษัทบอกว่าตัวเองดี… คนที่ “แตกต่าง” เท่านั้นที่ถูกจดจำ
Angela Nguyen เชื่อว่า จุดแข็งขององค์กรไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ — แต่ต้อง “ชัดเจน” และ “กล้าสื่อสารออกมา”
เธอเล่าประสบการณ์การเปลี่ยนมุมมองของผู้สมัครงาน ด้วยแคมเปญง่าย ๆ ที่เริ่มต้นจากคำถามว่า…
“ทำไมพนักงานของเรายังอยู่ที่นี่?”
คำถามนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์ “วิดีโอ 1 นาที” ที่พนักงานในทุกระดับมาร่วมแชร์เรื่องราวจริงของตัวเองแบบไม่ต้องเขียนสคริปต์ ไม่ต้องจัดฉาก
คลิปทั้งหมดถูกนำไปเผยแพร่ใน YouTube และ LinkedIn พร้อมคำบรรยายว่า “ชีวิตจริงของคนทำงานจริง” ซึ่งกลายเป็นกระแส และพนักงานแชร์ต่อกันเอง ทำให้โปรเจกต์เติบโตโดยไม่ต้องใช้โฆษณา
ตัวอย่างจริงที่องค์กรอื่นก็ทำได้
- ถามคำถามเรียบง่าย เช่น “ทำไมคุณถึงเลือกอยู่ที่นี่?”
- เปิดพื้นที่ให้คนทุกระดับแชร์เรื่องราว เช่น ผ่าน Vlog หรือบทสัมภาษณ์
- ใช้แพลตฟอร์มที่คนทั่วไปเข้าถึงง่าย เช่น TikTok, YouTube Shorts
แล้วองค์กรของคุณล่ะ? จะเริ่มยังไงดี
- ระบุ “จุดแข็ง” ที่ไม่เหมือนใคร
ไม่ต้องใหญ่โต แค่เป็นสิ่งที่คนในพูดถึงบ่อย เช่น ความยืดหยุ่น ความอบอุ่น หรือการเปิดรับไอเดียใหม่ - เปลี่ยนจุดเด่นเป็นเรื่องเล่า
ใช้ Storytelling จากพนักงานจริงเพื่อให้ข้อมูลน่าเชื่อถือและมีชีวิต - ใช้ภาพและเสียงให้ได้ผล
ภาพธรรมดาแต่มีอารมณ์จริงใจ จะให้พลังมากกว่าภาพที่ถูกปรุงแต่ง
“ธรรมดา” ไม่เคยดึงดูดใคร — ถ้าอยากให้คนจดจำ ต้องกล้าเล่า “ความแตกต่าง” อย่างจริงใจ

ในโลกที่ผู้สมัครมีทางเลือกมากมาย และสามารถเข้าถึงข้อมูลองค์กรได้เพียงปลายนิ้ว สิ่งที่จะทำให้แบรนด์นายจ้างของคุณโดดเด่น ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ที่สวยงาม แต่คือวัฒนธรรมที่ "จริง" และกล้าสื่อสารออกมาอย่างจริงใจ วัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่แค่ “เรื่องภายใน” อีกต่อไป แต่มันคือเครื่องมือทรงพลังในการดึงดูดคนที่ “ใช่” และสร้างทีมที่ “เชื่อมั่น” ในสิ่งเดียวกัน
ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นองค์กรขนาดเล็กหรือบริษัทชั้นนำ จุดเริ่มต้นของ Employer Branding ไม่ใช่งบประมาณมหาศาล แต่คือความเข้าใจตัวตนขององค์กร และการกล้าสื่อสารมันออกมาให้คนภายนอก “รับรู้และรู้สึก” ไปพร้อมกับคนภายใน
เมื่อวัฒนธรรมภายในตรงกับภาพลักษณ์ภายนอก — นั่นแหละคือสูตรลับขององค์กรที่ “น่าทำงานด้วย” อย่างแท้จริง
และนี้ก็คือเคล็ดไม่ลับดีๆจาก เหล่า HR ทั้ง 5 คนที่มาบอกเล่ากันต่อถึงสิ่งที่จะทำให้องค์กรมีความ unique มากยิ่งขึ้น !!
พร้อมหรือยัง ที่จะให้คนอยากมาทำงานกับคุณ ตั้งแต่ยังไม่กดสมัคร?
WorkVenture คือพันธมิตรด้าน Employer Branding ขององค์กรชั้นนำในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี เราช่วยแบรนด์องค์กรออกแบบกลยุทธ์ บริหารภาพลักษณ์นายจ้าง และเล่าเรื่องวัฒนธรรมองค์กรให้ “ใช่” และ “เข้าถึงได้จริง” ทั้งบนออนไลน์และในใจคนทำงานยุคใหม่