ฝ่ายบุคคลและผู้ประกอบการ | 27 August 2025

สร้างองค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากอยู่: Beyond Perks and Benefits

ในยุคที่การแข่งขันดึงดูดคนเก่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ หลายองค์กรอาจยังเข้าใจผิดว่า การมีสวัสดิการแปลกใหม่หรือ Perks เก๋ๆ อย่างอาหารกลางวันฟรี มุมเล่นเกม หรือวันหยุดพิเศษคือคำตอบในการรักษาคนรุ่นใหม่ แต่ความจริงแล้วสิ่งที่พนักงานโดยเฉพาะคนเจนใหม่มองหามากกว่า คือ วัฒนธรรมองค์กรที่ตอบโจทย์ความหมาย ความผูกพัน และความสมดุลในชีวิต

เมื่อโลกของการทำงานเปลี่ยนไป “ความสุข” ในที่ทำงานไม่ได้หมายถึงแค่เงินเดือนและโบนัสอีกต่อไป แต่คือการได้ทำงานในที่ที่มี Purpose ชัดเจน สนับสนุน Mental Health และสร้างพื้นที่ที่ทำให้คนรุ่นใหม่อยากเติบโตและอยู่ต่อกับองค์กรในระยะยาว

 


 

ทำไมแค่ Perks ไม่พออีกต่อไป?

ถ้ามองย้อนกลับไปสัก 10 ปี การแข่งขันของบริษัทในตลาดแรงงานมักเน้นไปที่สิทธิประโยชน์ เช่น ประกันสุขภาพพรีเมียม ห้องฟิตเนส หรือกิจกรรม Team Building ที่หรูหรา แต่วันนี้ Perks เหล่านั้นกลายเป็น “มาตรฐาน” ที่ทุกบริษัทมีได้ง่ายขึ้น จึงไม่ใช่จุดแตกต่างอีกต่อไป

สิ่งที่คนรุ่นใหม่สนใจไม่ใช่เพียง “ได้อะไร” จากองค์กร แต่เป็น “ได้เป็นใคร” ในองค์กรนั้นมากกว่าตรงนี้เองที่วัฒนธรรมองค์กรกลายเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจอยู่หรือไป

ตัวอย่าง 

  • บริษัทสตาร์ทอัพแห่งหนึ่งมีห้องเกมครบครัน แต่พนักงานก็ลาออกต่อเนื่อง เพราะเจอหัวหน้างานที่ไม่ฟังความคิดเห็น ในขณะที่บริษัทคู่แข่งแม้ไม่มี Perks หรู แต่เปิดโอกาสให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในการออกแบบโครงการใหม่ ๆ ผลคือ retention rate สูงกว่ามาก

 


 

 

วัฒนธรรมองค์กร: หัวใจที่คนรุ่นใหม่เลือก

คำว่า วัฒนธรรมองค์กรอาจฟังดูเป็นนามธรรมแต่แท้จริงแล้วมันแสดงออกผ่านพฤติกรรมประจำวัน การสื่อสารของผู้นำและบรรยากาศที่ทุกคนสัมผัสได้ตั้งแต่การประชุมเช้าไปจนถึงวิธีที่ทีมแก้ปัญหาด้วยกัน

วัฒนธรรมองค์กรที่ดีคือสิ่งที่ทำให้พนักงานรู้สึกว่า:

  • เสียงของเขามีค่า
  • ความคิดสร้างสรรค์ได้รับการสนับสนุน
  • ทุกคนมีโอกาสเติบโตอย่างเท่าเทียม
  • ผู้นำเป็น “Role Model” ไม่ใช่แค่ผู้สั่งการ

ตัวอย่าง

  • บริษัท A จัด Town Hall ทุกเดือน เปิดให้พนักงานทุกระดับถามคำถามผู้บริหารได้โดยตรงแบบไม่ต้องเซ็นชื่อ ทำให้เกิดความเชื่อใจและความโปร่งใสในทีม

 


การสร้าง Purpose ที่ชัด: เหตุผลที่คนรุ่นใหม่อยู่ต่อ

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่เลือกองค์กรไม่ใช่แค่ผลตอบแทน แต่คือ Purpose หรือความหมายที่อยู่เบื้องหลังการทำงาน

ลองถามตัวเองว่า:

  • องค์กรของเรามี “Why” ที่ชัดเจนหรือยัง?
  • พนักงานรู้สึกว่าเขามีส่วนร่วมในการสร้างคุณค่าให้กับสังคมหรือเปล่า?
  • งานประจำวันเชื่อมโยงกับเป้าหมายที่ใหญ่กว่าตัวเขาเองได้อย่างไร?

ตัวอย่าง

  • บริษัท B ผลิตสินค้าออร์แกนิกที่ช่วยลดขยะพลาสติก พนักงานรู้สึกว่าแค่ทำงานทุกวันก็ได้ช่วยโลก สิ่งนี้สร้างแรงบันดาลใจให้ทีมงานอยากอยู่ต่อ แม้เงินเดือนจะไม่ได้สูงที่สุดในตลาด

 


 

Mental Health: ปัจจัยที่องค์กรยุคใหม่ต้องให้ความสำคัญ

อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่อาจละเลยคือ Mental Health ในที่ทำงาน คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างงานและชีวิต (Work-Life Balance) มากกว่าคนรุ่นก่อนและพวกเขามองหาองค์กรที่ไม่เพียงแค่พูดแต่ลงมือทำจริงในการสนับสนุนสุขภาพจิต

แนวทางที่องค์กรสามารถทำได้ เช่น:

  • มี Flexible Working Hours เพื่อให้พนักงานบริหารเวลาได้
  • สนับสนุนการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
  • ส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสารแบบเปิดกว้าง
  • ฝึกอบรมหัวหน้างานให้เข้าใจการดูแลทีมทั้งในมิติอาชีพและมิติความรู้สึก 

ตัวอย่าง

  • บริษัท C มี “Mental Health Day” ให้พนักงานลาหยุดเพื่อพักใจโดยไม่ต้องใช้วันลาป่วย ส่งผลให้พนักงานรู้สึกว่าองค์กรเข้าใจและห่วงใยพวกเขาจริง ๆ

 


 

ความผูกพันของพนักงาน: ผลลัพธ์จากวัฒนธรรมที่แท้จริง

หลายองค์กรพยายามหาคำตอบว่า “จะทำยังไงให้พนักงานไม่ลาออก?” คำตอบไม่ได้อยู่ที่การขึ้นเงินเดือนอย่างเดียว แต่คือการสร้าง ความผูกพันของพนักงาน ผ่านวัฒนธรรมที่ชัดเจน

เมื่อพนักงานรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่ที่มีเป้าหมายร่วมกัน เขาจะมีแรงจูงใจในการทำงานและพร้อมทุ่มเทมากกว่า ความผูกพันนี้ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน แต่เกิดขึ้นจากการที่พนักงาน “เชื่อ” ในวัฒนธรรมองค์กรจริง ๆ

ตัวอย่าง

  • บริษัท D มีโครงการ “Buddy Program” ที่จับคู่พนักงานใหม่กับพนักงานเก่า ช่วยให้ปรับตัวง่ายขึ้นและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีมตั้งแต่วันแรก

 


 

 

ก้าวต่อไป: จะสร้างวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างไร?

  1. เริ่มจากผู้นำ – วัฒนธรรมองค์กรจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าผู้นำไม่เป็นตัวอย่าง

    ตัวอย่าง : Netflix ผู้บริหารระดับสูงเปิดเผยตรงไปตรงมาแม้กระทั่งความผิดพลาดของตนเอง เพื่อสร้างวัฒนธรรมแห่ง “ความโปร่งใส” และทำให้พนักงานทุกคนกล้าพูดความจริง
     
  2. สื่อสารอย่างโปร่งใส – คนรุ่นใหม่ต้องการรู้ว่าบริษัทกำลังมุ่งไปทางไหน

    ตัวอย่าง : Buffer (บริษัท Social Media Tool) เปิดเผยเงินเดือนพนักงานทุกคนในเว็บไซต์แบบโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดการเปรียบเทียบที่ไม่ยุติธรรม
     
  3. ให้พื้นที่ทดลองและล้มเหลว – นวัตกรรมเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนรู้สึกปลอดภัยที่จะลอง

    ตัวอย่าง :Google มีโครงการ “20% Time” เปิดโอกาสให้พนักงานใช้เวลาหนึ่งวันต่อสัปดาห์ทำโปรเจกต์ที่อยากลองเอง ผลงานจากนโยบายนี้ เช่น Gmail และ Google News
     
  4. ฟังเสียงพนักงานจริง ๆ – การสำรวจความพึงพอใจเป็นแค่จุดเริ่ม แต่ต้องมีการลงมือแก้ไขอย่างจริงจัง

    ตัวอย่าง : Adobe ยกเลิก Performance Review แบบเดิมที่ทำปีละครั้ง แล้วเปลี่ยนเป็น “Check-in” การพูดคุยต่อเนื่องระหว่างหัวหน้ากับทีม ช่วยให้พนักงานรู้สึกว่าความเห็นของพวกเขามีค่าและถูกนำไปใช้จริง
     
  5. บูรณาการ Mental Health – ไม่ใช่กิจกรรมเสริม แต่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์องค์กร

    ตัวอย่าง : Unilever เปิดโปรแกรม “Employee Wellbeing” ที่รวมการสนับสนุนสุขภาพจิตเข้ากับการทำงาน เช่น เปิดสายด่วนปรึกษานักจิตวิทยา และอบรมหัวหน้างานให้เข้าใจการดูแลสุขภาพใจของทีม