
3 บอส Thunder Express ดูแลลูกทีมยังไงให้สู้ตาย
จากซีรีส์ฮิตติดเทรนด์เนตฟลิกซ์ในตอนนี้ เรื่อง “สงครามส่งด่วน หรือ Mad Unicorn” ที่เล่าเรื่องราวของสันติ เด็กดอยที่มีความฝัน ความทะเยอทะยานที่อยากจะรวยจากการทำธุรกิจ และเพื่อนร่วมงานอย่างรุ่ยเจี่ย เสี่ยวหยู ที่สะท้อนแนวคิดการดูแลพนักงานอย่างลึกซึ้งตลอดทั้ง 7 ตอนของซีรีส์
เรื่องราวของพวกเขาไม่ใช่แค่การเล่าเรื่องธุรกิจหรือการแข่งขันเท่านั้น แต่เต็มไปด้วยบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการดูแลทีม การสร้างความสัมพันธ์ และการส่งเสริมให้สมาชิกทุกคนเติบโตไปพร้อมกัน
WorkVenture จะพาคุณสำรวจบทเรียนการดูแลพนักงานจากซีรีส์ ที่สามารถนำมาใช้ได้จริงในโลกการทำงาน เพื่อสร้างทีมที่เข้มแข็งขึ้นและองค์กรที่ยั่งยืน
.
Thunder Express เปรียบได้กับรถยนต์หนึ่งคันที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของชิ้นส่วนหลัก 3 อย่าง ถึงจะวิ่งไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
- สันติ (CEO) ทำหน้าที่เป็น “พวงมาลัย” คนกำหนดทิศทางของรถ ทุกการตัดสินใจอยู่ในมือเขา จะพา Thunder Express ไปถึงเส้นชัยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการบังคับพวงมาลัยของเขาคนนี้
- เสี่ยวหยู (CFO) คือ “เบรก” ของบริษัท ผู้คอยชะลอความเร็วเมื่อเห็นความเสี่ยง และเตือนให้คิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ เธอคือคนที่ทำให้รถคันนี้ไม่แหกโค้ง
- รุ่ยเจี่ย (CTO) เปรียบเสมือน “คันเร่ง” ที่ไม่มีวันแผ่ว ในเวลาที่ทีมสะดุดหรือขาดแรงขับ เธอคือพลังผลักดันให้ทุกคนลุกขึ้นมาสู้ต่อ รุ่ยเจี่ยคือแรงฮึดของทั้งทีม
.
บทเรียนจาก “สันติ แซ่ลี” ผู้นำที่เข้าใจคนมากกว่าตำแหน่ง
ฟังมากกว่าสั่ง
สันติอาจไม่ใช่คนพูดเก่ง แต่เขา “ฟัง” เก่ง เขารับฟังลูกทีมด้วยใจ ไม่รีบตัดสินจากอำนาจ แต่ฟังในเพื่อนร่วมทีม
สร้างความไว้ใจ
พนักงานไม่ได้รู้สึกกลัว แต่ “เชื่อใจ” เพราะเขาไม่เคยปล่อยให้ใครรู้สึกลำพัง ถึงไม่ใช่หน้าที่ตรง ๆ เขาก็พร้อมช่วยเสมอ
เข้าใจมากกว่าแค่ตัวเลข
เขาไม่ได้มองทีมเป็นแค่ KPI หรือเป้าหมาย แต่เห็นทั้งความเหนื่อย ความพยายาม และสิ่งที่แต่ละคนเจออยู่
เป็นผู้นำที่ดี
เขาไม่เพอร์เฟกต์ แต่กล้ายอมรับเมื่อพลาด และยืนเคียงข้างลูกทีมในวันที่พวกเขายังไม่พร้อมยืนลำพัง
แล้วเราดูแลทีมยังไง ?
คำถามนี้ไม่มีคำตอบตายตัว แต่เราอาจเริ่มจากการถามตัวเอง เช่น
- เราฟังพนักงานจริง ๆ หรือแค่รอให้เขาพูดจบ?
- เราสร้างพื้นที่ให้เขากล้าทำผิดพลาดหรือยัง?
- เราสนใจความพยายาม หรือสนแค่ผลลัพธ์?
ถ้าเราดูแลทีมด้วยหัวใจแบบสันติ ไม่ต้องพูดเยอะ แต่อยู่ข้าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ ลูกทีมจะไม่แค่ทำงานให้เราแต่จะ “เชื่อ” ในตัวเรา
บทเรียนจาก “รุ่ยเจี่ย” ผู้นำที่โหดเพราะหวังดี
เก่งแต่ไม่วางอำนาจ
ถึงรุ่ยเจี่ยโปรไฟล์แน่นแค่ไหน เขาก็ไม่ใช้ตำแหน่งกดใคร แต่ใช้ช่วยให้ทุกคนทำงานได้ดีขึ้น
โหดเพราะอยากให้รอด
ความเข้มงวดของเขาไม่ได้มาจากอีโก้ แต่มาจากความหวังดี ที่อยากให้ทีมไปต่อได้จริง ๆ
เหนื่อยแต่ไม่พูด
ทำงานหนัก ทุ่มสุดตัว แต่ไม่เคยบ่นให้ใครฟัง เพราะเขาเชื่อว่าการอยู่ข้างทีม สำคัญกว่าคำพูด
ช่วยด้วยมือ ไม่ใช่แค่พูดสั่งอย่างเดียว
ไม่ต้องพูดให้ซึ้ง แต่ลงมือให้เห็น ลูกทีมเลยมั่นใจว่าเขาจะไม่ปล่อยให้ใครล้มคนเดียว
แล้วเราดูแลทีมยังไง ?
ถ้าเห็นรุ่ยเจี่ยเป็นกระจกสะท้อนตัวเรา บางทีหัวหน้าทีมไม่ต้องนุ่มนวลเสมอไปแค่ “อยู่จริง” และ “จริงใจ” ก็ทำให้ทีมเชื่อใจได้แล้ว
บทเรียนจาก “เสี่ยวหยู” คนที่ดูแลทีมด้วยหัวใจ
ตั้งใจทำงาน ถึงงานนั้นจะไม่ง่าย
ไม่ว่าจะกดดันแค่ไหน เสี่ยวหยูยังคงมุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ และพยายามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
ทีมที่ดี เริ่มจากคนที่ใจดี
เสี่ยวหยูสร้างบรรยากาศในทีมให้อบอุ่นและปลอดภัย จนเพื่อนร่วมงานรู้สึกว่าไม่ได้แค่มาทำงาน แต่มี "บ้าน" ให้พึ่งพา
พร้อมฟัง พร้อมเปลี่ยนแปลง
เธอเปิดใจรับฟังทุกคำแนะนำ ไม่ยึดติดกับความคิดตัวเอง พร้อมเติบโตไปกับสถานการณ์
แบ่งปันมากกว่าผูกขาด
เธอไม่เก็บความรู้ไว้คนเดียว แต่หยิบยื่นให้กับคนอื่นเสมอ เพราะเชื่อว่าทีมที่เข้มแข็งเกิดจากการช่วยกัน
แล้วเราดูแลทีมยังไง ?
ถ้าเราดูแลทีมแบบ “เข้าใจมากกว่าควบคุม” ให้พื้นที่พวกเขาเติบโต แทนที่จะบีบให้เป็นตามแบบเรา
ฟังด้วยใจ ไม่รีบตัดสิน ให้โอกาส ไม่ใช่แค่ให้คำสั่ง เมื่อเรานำด้วยความจริงใจ ทีมจะไม่ได้แค่ “ทำตาม” แต่จะ “เดินร่วม” ไปกับเรา
.
ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงเร็วแบบทุกวันนี้
ผู้นำที่เข้าใจคน เข้าใจทีม และกล้าอยู่เคียงข้างกันจริง ๆ คือ สิ่งที่องค์กรต้องการมากกว่าคำสั่งหรือกลยุทธ์ใด
เพราะสุดท้ายแล้วทีมที่ดีไม่ใช่แค่ทีมที่ “เก่ง” แต่คือทีมที่ “เชื่อใจกัน” และการดูแลกันด้วยหัวใจ คือจุดเริ่มต้นของทุกความสำเร็จระยะยาว
แล้วคุณล่ะ...อยากเป็นผู้นำแบบไหน? ค้นหางานที่ใช่บท WorkVenture ได้เลย
#MadUnicorn #สงครามส่งด่วน #บทเรียนการทำงาน #ดูแลทีมด้วยหัวใจ #WorkVenture