Career advice | 21 January 2020

3 ความเชื่อ ที่ทำให้ชาวเดนมาร์ก มี Work-Life Balance ดีที่สุดในโลก

ประเทศที่ใครๆต่างก็รู้จักกันดีในนามของประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ชาวเดนมาร์กใช้เวลาแค่ 1 ใน 3 ของเวลาการทำงานปกติ โดยรัฐบาลเองก็สนับสนุนให้ทำงานเพียง 37 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เท่านั้น อีกทั้งยังมีสวัสดิการลาพักร้อนอย่างน้อย 5 สัปดาห์ มีตารางงานที่สามารถยืดหยุ่นได้และยังมีทางเลือกให้ทำงานที่บ้านได้อีกด้วย

ในเดนมาร์กการใช้เวลาในการทำงานน้อยเป็นสิ่งที่คนทั่วไปเค้าทำกัน การทำงานน้อยไม่ใช่ว่าผลงานจะน้อยหน้าตามแต่กลับออกมาดีกว่าทางฝั่งยุโรปหรืออเมริกันที่ใช้เวลาทำงานเต็มๆซะอีก ถือได้ว่าชาวเดนมาร์กนั้นให้ความสำคัญกับ Work-life balance เป็นอย่างมาก

หลายๆคนคงมีคำถามผุดขึ้นมาว่า ‘เห้ยมันดีขนาดนั้นจริงหรอ?’ ที่จริงแล้วทัศนคติของคนนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ซ่อนอยู่ในเบื้องหลังแนวคิดในเรื่อง Work-life balance ของคนในประเทศนั่นเอง ความเชื่อต่างๆเหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้พวกเขามีความสุขกับการทำงานได้
 

1.การเชื่อและไว้ใจให้พนักงานทำงานของตนเองให้สำเร็จ

มีความเชื่อผิดๆว่าคนที่เลิกงานไวนั้นเป็นพวกขี้เกียจทำงานและยิ่งใช้เวลาในการทำงานมากเท่าไหร่ผลงานนั้นจะยิ่งออกมาดีมากเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ใช่แบบนั้นเลย แทนที่เราจะโหมงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น เปลี่ยนเป็นแค่ทุ่มเททำงานในส่วนที่เราจะต้องรับผิดชอบจริงๆให้เสร็จดีกว่ามั้ย ? และนี่แหละ คือแนวทางที่ชาวเดนมาร์กทำกัน เขาเชื่อกันว่าแค่ไว้ใจให้พนักงานทำงานดีๆ ทำตามหน้าที่แล้วก็แค่กลับบ้าน
 

2. เชื่อว่าการใช้เวลากับครอบครัวเป็นช่วงเวลาที่มีค่า

การให้ความสำคัญกับครอบครัวไม่ใช่เรื่องที่น่าอายเลยสักนิดและถ้าหากคุณไม่มีครอบครัวคุณก็จะได้รับความอิสระในแบบเดียวกัน ในเดนมาร์กคุณจะได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสำหรับคนที่มีบุตรและรัฐบาลจะจัดหาแม่บ้านและเงินบำนาญสำหรับผู้สูงอายุด้วย

การให้ความสำคัญกับครอบครัวนี้ส่งผลให้เดนมาร์กกลายเป็นประเทศที่มีการศึกษาที่ดีอีกด้วย แทนที่จะมานั่งวัดผลกันด้วยการสอบวัดความรู้ต่างๆ ชาวเดนมาร์กกลับเลือกที่จะให้ตัวเด็กเองมีความรอบรู้และกระตือรือร้นด้วยตัวเอง คุณครู Stephanie Lambert ผู้ย้ายมาจากอังกฤษ กล่าวว่า ประเทศนี้จะใส่ใจกับชั่วโมงการทำงานที่น้อยลง เพื่อเปิดโอกาสให้อาจารย์ได้ทุ่มเทให้กับความต้องการของตัวนักเรียนเองแบบตัวต่อตัว มากกว่าให้ไปคร่ำเครียดกับความสำเร็จของชุดนักเรียนที่ใส่

ชาวเดนมาร์กซึมซับแนวคิดนี้มาตั้งแต่เด็กและเมื่อพวกเขาโตขึ้นก็จะปฏิบัติไปในแนวเดียวกัน
 

3. เชื่อว่าการทำงานและการพักผ่อนเป็นเรื่องที่ไปด้วยกันได้

ใครๆก็ได้ประโยชน์จากการพักผ่อนทั้งนั้น ยิ่งเราทำงานหนักเท่าไหร่เราก็ยิ่งเครียดเท่านั้น นั่นหมายถึงสุขภาพของเราก็จะแย่ตามมาซึ่งส่งผลให้งานไม่เสร็จอีกด้วย จากรายงานการศึกษาพบว่า วันหยุดจะช่วยให้สมองของเรามีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่เราไม่ควรมองวันหยุดว่าเป็นสิ่งมีค่า ที่เก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นเพียงเท่านั้น ชาวเดนมาร์กได้รับวันหยุดพักร้อนขั้นต่ำ 5 สัปดาห์ ซึ่งพวกเขาตระหนักได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบไหน คนที่มีความสุขกับการทำงานจะเป็นพนักงานที่มีคุณภาพ ‘เราคิดว่าพวกเราต่างก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับการเคารพไม่ว่าจะเป็น CEO หรือ พนักงานระดับล่างก็ตาม ’  นักจิตบำบัดชาวเดนมาร์ก Iben Sandahl กล่าวกับ The ·Local  ว่า ‘พวกเราพยายามจะสอนเด็กๆให้โฟกัสไปที่คุณค่าของตัวเองและผู้อื่นมากกว่าจะไปใส่ใจกับสถานะหรือสิ่งที่แปะป้ายเราไว้’ รูปแบบการใช้ชีวิตแบบ Work-life balance ของชาวเดนมาร์กนั้นเป็นเครื่องการันตีได้เลยว่า ความเชื่อที่เราเชื่อกันมาว่า ยิ่งใช้เวลาในการทำงานมากเท่าไหร่ผลงานนั้นจะยิ่งออกมาดี พวกเขาได้พิสูจน์แล้วว่ามันไม่จริง การบังคับให้คนอุทิศชีวิตเพื่องานหรือการโหมแรงกายและแรงใจเพื่อทำแต่งานจนลืมไปใช้ชีวิตนั้นไม่ได้ช่วยให้คนมีความสุขและไม่ได้หมายความว่างานนั้นๆจะออกมาดีเสมอไปด้วย ดังนั้นพัก และออกเดินทางตามหาแรงบรรดาลใจ ชาร์จแบตให้ตัวเองบ้าง

งั้นตอนนี้ก็คงจะถึงเวลาที่พวกเราควรทำตามตัวอย่างของพวกเขากันบ้างแล้ว!